ล่าสุด

ลิงค์ที่เป็นมิตร

สหรัฐชัตดาวน์เสี่ยงยืดเยื้อ กระทบส่งออกไทย ตลาดการเงิน

2025-10-17     HaiPress

ชัตดาวน์สหรัฐเสี่ยงยืดเยื้อ หวั่นไทยโดนหางเลข ลามกระทบส่งออกไทย ตลาดการเงินป่วน

น.ส.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยเจอความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ จากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ หรือรัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์ ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่มากดดันเศรษฐกิจโลก โดยที่คาดว่าชัตดาวน์ครั้งนี้ อาจยืดเยื้อยาวนานกว่าในอดีตที่ชัตดาวน์เฉลี่ย 4 วัน มีการพูดถึงการปลดพนักงานรัฐมากถึง 750,000 คน ซึ่งมากขึ้นอีกเท่าตัวของตัวเลขสูงสุดในอดีต และขู่ว่าอาจไม่จ่ายเงินย้อนหลังให้ อาจมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐ มากกว่าเดิม โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบ ทำให้ไทยจะได้รับผลกระทบผ่านการส่งออกและตลาดการเงินด้วย

ขณะที่รัฐบาลชุดใหม่ของไทยต้องเข้ามารับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะโตเพียง 1.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 คาดว่าจะโตไม่ถึง 1% ขณะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักยังอ่อนแรง ทั้งการบริโภค และการลงทุน ส่วนในปี 69 ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลเต็มปี ทำให้การส่งออกติดลบ ซึ่งได้มองว่า รัฐบาลควรดำเนินการ 3 ด้านพร้อมกัน ได้แก่ สร้างความมีเสถียรภาพ,กระตุ้นเศรษฐกิจ และปฏิรูปโครงสร้าง

สำหรับระยะสั้น รัฐบาลต้องเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภค นักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวกลับมา เร่งการเบิกจ่ายในไตรมาส 4 และกระตุ้นอุปสงค์ ผ่านชุดนโยบายที่จะออก ขณะที่มีการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายควบคู่กัน ส่วนระยะกลาง ต้องเร่งเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีนโยบายที่ทำให้นักธุรกิจและแรงงานเก่งขึ้น ปฏิรูปการคลัง และเร่งสื่อสารเชิงรุก

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณานโยบายเศรษฐกิจควิก บิ๊ก วิน ของรัฐบาล พบว่า มีมาตรการระยะสั้นที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส,การเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่รัฐ,การลดค่าเดินทางและพลังงาน,การแก้หนี้ประชาชน ช่วยหนี้รายย่อยในระบบไม่เกิน 100,000 บาท

ส่วนมาตรการระยะยาวที่สำคัญ คือ การประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์เร็วขึ้น 15 ปี,การปฏิรูปกฎหมาย แก้ผลกระทบสงครามการค้า และการอำนวยความสะดวกการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจะเร่งดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดผลควิก คือ กระตุ้นสั้น,บิ๊ก ได้ผลยาว และวิน กระจายตัวทั่วถึง ทั้ง 3 ด้านพร้อมกัน แต่รัฐบาลจะอยู่เพียง 4 เดือน จากนั้นจะยุบสภา และอาจรักษาการต่ออีก 4 เดือน จึงต้องจับตาว่าจะเห็นผลทางเศรษฐกิจได้มากเพียงใด

“รัฐบาลมีกระสุนจำกัด จากการคลังที่มีข้อจำกัดการกู้ยืม หากรัฐบาลขาดดุลงบประมาณสูง 3-4% ต่อจีดีพีต่อเนื่อง หนี้สาธารณะอาจเกินเพดาน 70% ภายในปี 70 ซึ่ง รมว.คลัง เล็งเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปการคลัง ส่วนประเด็นกำลังซื้อฐานรากอ่อนแอ รายได้ของแรงงานและเอสเอ็มอี กลุ่มล่างยังไม่ฟื้นตัว อาจทำให้นโยบายที่ใส่เม็ดเงินเข้าไปทำได้เพียงช่วยลดรายจ่ายหรือเพิ่มสภาพคล่อง แต่ยากที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ”

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
กลับไปด้านบน
©ลิขสิทธิ์ 2009-2020 อ่าวไทย [อ่าวไทย]      ติดต่อเรา   SiteMap